ชีวิตรัก คุณหลวงศักดิ์-อำแดงศรี

ชีวิตรัก คุณหลวงศักดิ์-อำแดงศรี บทที่ 3 แรกสบตาข้าก็รัก

บทที่ ๓

แรกสบตาข้าก็รัก…

                หลังจากข้าโดนผีหลอกที่คลองพระโขนงจนจับไข้หัวโกร๋นนอนซมอยู่หลายวัน พออาการดีขึ้นก็พอดีกับเรือนหลังใหม่ที่บ้านท่าแร้งสร้างเสร็จเรียบร้อย เช้าวันหนึ่งข้าจึ่งนำอาหารไปทำบุญที่วัดเพื่อล้างซวยจากการโดนผีหลอก แลจะได้นิมนต์พระไปสวดทำบุญขึ้นบ้านใหม่ด้วย…

                “ได้ข่าวว่าโยมป่วย หายดีแล้วรึ” หลวงตากริ่งเอ่ยถามเมื่อเห็นหน้าข้า

                “อาการดีขึ้นมากแล้วขอรับหลวงตา แต่อยากให้หลวงตารดน้ำมนต์ให้สักหน่อย ข้าโดนผีหลอกมา” ข้าตอบ

                “อ้อ… ไปไงมาไงถึงโดนผีหลอกได้ล่ะ” หลวงตากริ่งซักถามต่อ ขณะที่ชาวบ้านซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ ก็พากันรอฟังคำตอบอย่างสนใจ

                “ข้าไปงานศพญาติแถวพระโขนง แต่เจอผีแม่นากหรือผีใครก็ไม่ทราบหลอกเอาขอรับ” คำตอบของข้าทำเอาชาวบ้านส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที

                “อืม โยมไม่ลองกลับไปถามดูให้แน่ใจล่ะว่าตกลงเป็นผีแม่นากหรือเปล่า” คำแนะนำของหลวงตากริ่งทำเอาข้าถึงกับสะดุ้ง รีบปฏิเสธโดยพลัน

                “ไม่ละขอรับหลวงตา ข้าคงไม่ไปแถวนั้นอีกแล้ว เว้นแต่ถ้าหลวงตาไปด้วยข้าถึงยอมไป เอาไหมขอรับ ถ้าหลวงตาปราบผีนั่นได้ รับรองว่าหลวงตาจะมีลูกศิษย์ลูกหาเพิ่มขึ้นมากมายเชียวนะขอรับ”

                “ข้าไม่ว่าง” หลวงตากริ่งตอบห้วนๆ แล้วไม่ชวนข้าคุยอีกเลย

                หลวงตากริ่งดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนี้มาตั้งแต่ยังหนุ่ม เปนที่เคารพนับถือของชาวบ้านในย่านนี้มาก หลังพระฉันเช้าเสร็จเรียบร้อย ข้าก็ตามหลวงตากริ่งไปที่กุฏิ เอ่ยนิมนต์พระไปสวดทำบุญขึ้นบ้านใหม่แล้วก็ให้หลวงตากริ่งรดน้ำมนต์ให้ ตอนแรกหลวงตาก็พรมน้ำมนต์ให้เบามือ แต่พอข้าถามเรื่องไปปราบผีอีกครั้ง หลวงตากริ่งก็ยกบาตรที่ใส่น้ำมนต์เทรดหัวรดตัวข้าจนชุ่มโชก แล้วหัวเราะหึๆ ก่อนจะกล่าวทิ้งท้าย

                “มันต้องโชกๆ อย่างนี้ เปนสิริมงคลดีนักแล…”

                ในที่สุดข้าก็ต้องลาหลวงตากริ่งมาในสภาพคนเพิ่งฟื้นไข้ หัวโกร๋น แถมยังเปียกมะลอกมะแลกไปทั้งตัว ชาวบ้านที่เพิ่งลงมาจากหอฉันเห็นเข้าก็พากันซุบซิบหัวเราะ ข้ายังไม่ค่อยสนิทคุ้นเคยกับชาวบ้านเหล่านั้น เลยได้แต่ยิ้มแหยๆ แล้วเร่งเท้าเดินออกจากวัด

                แต่แล้วข้าก็เห็นหญิงนางหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นลั่นทมใหญ่ไม่ไกลจากหอฉันนัก แวบแรกที่เห็นถึงกับขนลุกซู่ นึกว่าจะโดนผีหลอกเข้าอีกแล้ว ด้วยความสวยของหน้าตาแลเรือนร่างที่งามเพียบพร้อม ประกอบกับการยืนอย่างสงบนิ่งอยู่ใต้ต้นลั่นทมด้วยใบหน้าที่เศร้าโศกนิดๆ เลยทำให้ข้าเข้าใจผิด แต่พอดูดีๆ ก็มั่นใจได้ว่าเปนคนนี่เอง ไม่ใช่ผีสางนางไม้ที่ไหน ข้าเดินเข้าไปใกล้หล่อนคนนั้นมากขึ้น สายตาของเราสบกัน ข้าถึงกับยืนตะลึงงัน หล่อนมองข้าด้วยสายตาที่อธิบายไม่ถูก แต่ข้ามองหล่อนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชอบแลหลงรัก… ข้ารักหญิงคนนี้ตั้งแต่ได้สบตากันครั้งแรก!

                “สวยจัง…” ข้าอุทานอย่างเผลอไผล

                “ซวยจัง!” หล่อนเอ่ยสั้นๆ แล้วสะบัดหน้าเดินจากไป ปล่อยให้ข้ายืนมองตามอย่างใจลอยจนชาวบ้านที่เดินตามมาพากันหัวเราะกับสภาพของข้าอีกรอบ

                นี่ก็คือการพบกันครั้งแรกของข้ากับอำแดงศรี…

                *** หลายปีต่อมา ข้าถามอำแดงศรีว่าวันนั้นไปยืนเศร้าอยู่ใต้ต้นลั่นทมทำไม หล่อนบอกว่าวันนั้นเป็นวันเกิดของหล่อนจึ่งตั้งใจไปทำบุญที่วัดอย่างเต็มที่ แต่ตื่นสายเลยรีบมาวัด ความรีบทำให้สะดุดล้ม ข้าวแลกับข้าวหกหมดอดได้ทำบุญ หลังเก็บกวาดเรียบร้อยกะว่าจะขึ้นหอฉันไปฟังพระให้พรก็ยังดี แต่กลับซุ่มซ่ามไปเหยียบขี้หมาอีก กว่าจะล้างเท้าเสร็จพระก็ให้พรจบแล้ว จึ่งขี้เกียจขึ้นบนหอฉัน ยืนอยู่ใต้ต้นลั่นทมรอดูว่ามีเพื่อนมาวัดบ้างหรือเปล่าด้วยความเศร้าที่ไม่ได้ทำบุญในวันเกิด ก็พอดีโดนข้าเข้าไปจ้องมองแลพูดจาแทะโลม… นี่คือที่มาของสายตาเศร้าๆ แลถ้อยคำแรกที่อำแดงศรีเอ่ยให้ข้าได้ยิน ช่างน่าประทับใจจริงๆ

คุณหลวงศักดิ์ อำแดงศรี