บทที่ ๔
อยากคุยกับนางต้องเข้าทางแม่
การไปทำบุญที่วัดในครานั้นทำให้ข้าเปนที่รู้จักของชาวบ้านอย่างรวดเร็ว ปากต่อปากเอ่ยชมว่าข้าเปนคุณหลวงที่อายุยังน้อย แลไม่ถือตัวหรือเย่อหยิ่งจองหองแต่ประการใด คุยกับชาวบ้านอย่างเปนกันเอง อพิโธ่พิถัง ในสภาพลูกหมาตกน้ำเช่นนั้นจะให้ข้าวางท่าว่าสูงส่งเหนือคนอื่นอยู่ได้อย่างไร อีกทั้งข้ายังเข้าไปคุยกับชาวบ้านซึ่งมาทำบุญที่วัดเปนเวลานานก็เพื่อเลียบเคียงถามว่าผู้หญิงที่มาขโมยหัวใจของข้าไปตั้งแต่แรกพบคนนั้นเปนลูกเต้าเหล่าใครเท่านั้นเอง แลได้ความว่าหล่อนชื่ออำแดงศรี ข้าได้ฟังก็อุทานอยู่ในใจ เราช่างเกิดมาเปนเนื้อคู่กันแท้ๆ ขนาดชื่อยังคล้องจองคล้ายกัน ในเมื่อเปนเช่นนี้ ข้าคงอยู่เฉยต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าจักต้องหาทางเกี้ยวหล่อนมาครองคู่อยู่ร่วมชายคาเดียวกันให้จงได้
ชาวบ้านเล่าว่าพ่อของอำแดงศรีชื่อตาเสียม แม่ชื่อยายแจ่ม ตาเสียมนั้นชอบเล่นไก่ชน ปลากัด เลี้ยงไว้หลายตัว ว่างจากทำนาทำสวนก็พาไก่พาปลาไปท้าชนท้ากัดกับเขาไปเรื่อย ข้างฝ่ายยายแจ่มนั้นใจดีแต่ปากจัด แลขยันทำมาหากิน มักทำขนมมาขายที่ตลาดอยู่เปนนิจ ทั้งสองมีลูกสาวคนเดียว จึ่งหวงแหนหนักหนา โดยเฉพาะตาเสียม หากมีหนุ่มใดมาทำกิริยาก้อร่อก้อติกกับลูกสาวแกละก็มีโอกาสเจ็บตัวสูง นัยว่าตาเสียมโดนเมียด่าบ่อย จะเถียงเมียก็ไม่มีความกล้าพอ จึ่งมาลงที่หนุ่มๆ ซึ่งมาเกี้ยวอำแดงศรีแทน
บรรดาชาวบ้านยังสาธยายให้ข้าฟังอีกว่า ความดุของตาเสียมกับความปากจัดของยายแจ่มนั้นยังไม่น่ากลัวเท่าตัวอำแดงศรีเอง เพราะปากหล่อนร้ายไม่น้อยไปกว่าแม่ แลใจเด็ดเดี่ยวออกทางนักเลงไม่เกรงใคร แต่พูดไปพูดมาต่างก็ชมว่าหล่อนเปนคนดี เพียงแค่นั้นข้าก็ปลื้มปีติจนอาการป่วยไข้จากการโดนผีหลอกที่ยังหลงเหลืออยู่บ้างก็อันตรธานไปหมดสิ้น ความรักเปนยาดีที่ยาผีบอกใดๆ ก็ไม่เทียบเทียมได้จริงๆ หากไม่เชื่อข้าก็ลองไปให้ผีหลอกจนหัวโกร๋นแล้วลองมีความรักแบบข้าดู…
เช้าวันต่อมา ข้าอาบน้ำประแป้งแต่งตัวเสร็จก็รีบไปตลาด เปนไปอย่างที่ข้าคิดไว้ วันนี้อำแดงศรีมาช่วยแม่ขายขนม ยายแจ่มเห็นข้ายืนหันรีหันขวางเก้ๆ กังๆ อยู่ก็เอ่ยทักทาย
“พ่อเอ๊ย ขนมไหมจ๊ะ เพิ่งทำมาใหม่ๆ”
“น่ากินทีเดียวน้า ข้าขอเหมาหมดเลยก็แล้วกัน วันนี้ญาติข้าจะมาเยี่ยม ข้าจะเอาไปต้อนรับขับสู้สักหน่อย”
ยายแจ่มยิ้มร่าอย่างดีใจ ส่วนอำแดงศรีที่นั่งตัดใบตองเพื่อเอาไว้ห่อขนมได้ยินข้ากล่าวก็หันมามอง แล้วหล่อนก็สะบัดหน้ากลับด้วยความเร็วกว่าตอนหันมามองหลายเท่า
“อวดรวย”
ถ้าหูข้าไม่ฝาด ข้าว่าข้าได้ยินอำแดงศรีกล่าวเช่นนั้น ปกติข้าไม่ใช่คนที่จะอวดรวยหรืออวดยศศักดิ์อะไรกับใคร แต่ยอมรับตรงๆ ว่าครานี้ข้าตั้งใจเช่นนั้นจริงๆ เพราะอยากให้ยายแจ่มประทับใจนั่นเอง แลดูจะได้ผล เพราะยายแจ่มยิ้มให้ข้าก่อนจะเอ่ยชวนคุย
“พ่อหนุ่มคือหลวงศักดิ์ที่เพิ่งมาปลูกบ้านใหม่อยู่ย่านนี้หรือ”
“ใช่แล้วจ้ะน้า” ข้าตอบรับ แอบดีใจอยู่ไม่น้อยที่ยายแจ่มรู้จักข้าด้วย
“อายุแค่นี้ได้เปนคุณหลวงแล้ว ท่าทางคงจะเปนลูกหลานท่านท้าวเจ้าพระยากระมัง” ยายแจ่มซักถามอย่างสนใจ
“มิใช่เช่นนั้นหรอก” ข้ารีบปฏิเสธ “พ่อข้าก็เปนชาวบ้านธรรมดา อยู่ที่บ้านบึงโน่น บังเอิญข้าทำความดีความชอบครั้งใหญ่ เลยได้ยศมาเปนรางวัล แต่หาได้มีอำนาจใหญ่โตอะไรไม่ งานที่ทำก็เล็กๆ น้อยๆ ไม่สำคัญอะไร”
“ถ่อมตัวจริงนะพ่อคุณ เอาเถอะ ว่าแต่คุณหลวงพาบ่าวไพร่มาด้วยหรือไม่ หากไม่ได้พามา เดี๋ยวข้าจะให้ลูกสาวข้าช่วยยกขนมไปส่งที่บ้านก็แล้วกัน”
คำพูดของยายแจ่มทำเอาข้าดีใจอย่างบอกไม่ถูก รีบบอกไปว่ามาตัวคนเดียว ยายแจ่มเลยหันไปบอกให้อำแดงศรีรีบห่อขนมจัดลงหาบ แล้วให้นำไปส่งถึงบ้านข้าอย่าได้ช้า
“แม่ให้ข้าไปบ้านคนแปลกหน้าตามลำพัง ไม่กลัวว่าข้าจะเป็นอันตรายหรือไร” อำแดงศรีเอ่ยถามยายแจ่มอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“คุณหลวงหาใช่คนแปลกหน้าไม่ คนแถวนี้รู้จักกันดี บ้านคุณหลวงก็ใช่ว่าจะอยู่ไกลซะที่ไหน หาบขนมไปส่งดีๆ อย่าทำหกกลางทางล่ะ”
อำแดงศรีจัดขนมที่ห่อเสร็จลงในหาบอย่างกระฟัดกระเฟียด หยิบไม้คานมาถือแล้วมองเขม็งมาที่หัวข้าเหมือนอยากฟาดใส่เต็มทน ข้ารีบยกตะกร้าขนมแล้วเดินนำหน้าหล่อนมุ่งหน้ากลับบ้านด้วยความปลื้มปีติ อิ่มอกอิ่มใจที่ได้เดินกลับบ้านกับสาวที่ชอบสองต่อสอง นับว่าความรักของข้าคืบหน้าไปเร็วพอสมควร…