ชีวิตรัก คุณหลวงศักดิ์-อำแดงศรี

ชีวิตรัก คุณหลวงศักดิ์-อำแดงศรี บทที่ 6 เทพวิบัติกลายร่างเปนกามเทพ

บทที่ ๖

เทพวิบัติกลายร่างเปนกามเทพ

                เช้าวันต่อมาข้าลืมตาตื่นอย่างไม่เต็มใจนัก ด้วยเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ แต่พอนึกถึงหน้าอำแดงศรีขึ้นมาข้าก็รีบอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปตลาด มองไปที่ห้องของน้าปริงซึ่งน่าจะยังไม่ตื่น น้าปริงชอบไปตลาดมาก แต่เมื่อวานทำให้ข้าโมโห วันนี้ข้าจึงไม่ชวนไปตลาดด้วย

                พอถึงตลาดข้าก็ไม่รอช้า ตรงไปหาอำแดงศรีทันที แต่แล้วข้าก็หยุดชะงัก ยกมือขยี้ตาตัวเองอย่างไม่เชื่อภาพที่เห็น…

                น้าปริงนั่งหัวร่อคิกคักอยู่กับยายแจ่ม โดยมีอำแดงศรีนั่งยิ้มอยู่ข้างผู้เปนแม่ ข้าเพิ่งเห็นอำแดงศรียิ้มเช่นนั้นเปนครั้งแรกทำเอาหัวใจข้าหวั่นไหวยิ่งนัก อยากให้หล่อนยิ้มกับข้าเช่นนั้นบ้าง แต่พออำแดงศรีเหลือบมาเห็นข้าเข้า หล่อนก็หุบยิ้ม ตีหน้าเฉยทำเปนไม่เห็นเสียอย่างนั้น

                ชะรอยน้าปริงจะจับสังเกตได้ จึงหันมามอง พอเห็นข้าก็ร้องทักเสียงดัง

                “คุณหลวง มาด้วยหรือ นึกว่าจะตื่นสาย เห็นเมื่อคืนนอนดึก”

                “ต้องมาสิ วันนี้จะมีแขกมาเยี่ยมหลายคน จึงต้องมาหาของกินเตรียมไปไว้รับแขกเสียหน่อย” ข้าบอกไปตามจริง เพราะมีคนรู้จักบางคนที่ไม่สะดวกมางานขึ้นบ้านใหม่ตรงกับวันงาน จึ่งมาแสดงความยินดีล่วงหน้า แต่เรื่องนี้ก็เปนเหตุผลรอง ส่วนเหตุผลหลักนั้นบอกไปไม่ได้เด็ดขาด

                “ถ้าขนมนี่ละก็ข้าซื้อให้แล้ว เมื่อวานกินแล้วติดใจ วันนี้เลยให้เด็กๆ ที่บ้านพามาซื้อเอง” น้าปริงบอกพลางแบมือหรา “คุณหลวงมาก็ดีแล้ว จ่ายค่าขนมคืนมาด้วย ขอเผื่อซื้ออย่างอื่นด้วยนะ ทางโน้นมีแม่ค้าพายเรือมาขายปลาตัวโตๆ น่ากินนักเชียว”

                ข้าหยิบพดด้วงส่งให้แต่โดยดี เพลานั้นตรงกับปี พ.ศ. ๒๔๐๔ ประเทศสยามมีการผลิตเหรียญกษาปณ์อย่างต่างประเทศออกมาใช้บ้างแล้ว แต่ชาวบ้านยังไม่ค่อยกล้าใช้กันนัก

                “คุณหลวงเอาขนมกลับบ้านไปก่อนเถอะ เดี๋ยวอย่างอื่นข้าไปจัดการซื้อหาให้เอง นี่แม่ครัวก็มาด้วย” น้าปริงหลิ่วตาให้ข้าก่อนจะหันไปเอ่ยกับอำแดงศรี “แม่ศรีช่วยถือขนมไปส่งบ้านให้หน่อยนะ อ้อ แล้ววันงานอย่าลืมล่ะ ต้องไปให้ได้นะ”

                “ไม่ลืมหรอกจ้ะ เดี๋ยวน้าจะไปช่วยทำขนมเลี้ยงแขกด้วย” ยายแจ่มรับปากอย่างอารมณ์ดี เพราะขนมถูกเหมาหมดติดต่อกันสองวัน

                ก่อนจากกัน น้าปริงเดินเข้ามากระซิบให้ข้าได้ยินเพียงคนเดียว

                “เรื่องที่เข้าใจผิดเมื่อวานข้าอธิบายแล้วเรียบร้อย วันนี้มีโอกาสแล้วอย่าให้เสียเปล่าล่ะ”

                ข้าหน้าแดงอย่างระงับไม่อยู่ รีบถือตะกร้าขนมเดินจากมาโดยมีอำแดงศรีหาบขนมเดินตามอย่างเงียบๆ เช่นเมื่อวานอีกครั้ง

                “เห็นคุยอะไรกันครื้นเครง น้าปริงพูดอะไรแปลกๆ หรือเปล่า เจ้าอย่าได้เชื่อน้าปริงนัก” ข้าเอ่ยหยั่งท่าทีไปก่อน

                “น้าปริงบอกว่าคุณหลวงยังโสด ข้าไม่เชื่อก็ได้” หล่อนพูดพร้อมมีรอยยิ้มให้เห็น นั่นทำให้ชื่นใจนัก

                “อ๊ะ เรื่องนี้เชื่อได้” ข้ารีบบอก “แต่ทำไมข้าเห็นหัวเราะกันยกใหญ่ น่าจะมีเรื่องอื่นด้วย”

                “ก็แค่เรื่องตลกแค่นั้นเอง” อำแดงศรีตอบโดยเร็ว วันนี้ดูสาวเจ้าอารมณ์ดีเปนพิเศษ คงต้องยกความดีความชอบให้กับน้าปริง “แต่มีคุณหลวงเปนตัวเอกของเรื่องเท่านั้น”

                กำลังจะสบายใจแล้วเชียว ต้องมากังวลอีกจนได้ น้าปริงนะน้าปริง ไม่รู้เอาเรื่องน่าขายหน้าอะไรมาเล่าบ้าง เรื่องพวกนี้ข้ามีเยอะเสียด้วยสิ

                “อ้อ ช่างเถอะ ข้ายอมเปนตัวตลก ถ้าทำให้เจ้ายิ้มได้” พูดเสร็จข้าก็พยายามมองสบตาอำแดงศรี แต่ไม่สำเร็จ เจ้าหล่อนเบือนหน้าหลบไปทางอื่น ข้าไม่กล้าหยอดคำหวานมาก เพราะรู้นิสัยอำแดงศรีดีว่าไม่ชอบคำหวานคำป้อยอนัก พูดมากไปหล่อนจะอึดอัดเสียเปล่าๆ จึงรีบเปลี่ยนไปชวนคุยเรื่องอื่นแทน

                “วันงานข้าอยากจะขอแรงเจ้ามาช่วยน้าปริงคอยต้อนรับแขกเหรื่อ จะรบกวนมากไปหรือไม่”

                “ข้ารับปากน้าปริงไว้แล้วว่าจะมาช่วย แต่ไม่รู้ว่าจะทำให้เสียเรื่องหรือเปล่า ข้าอาจเผลอทำกิริยากระโดกกระเดกดูไม่งามต่อหน้าแขกผู้ใหญ่ งานนี้น่าจะมีเจ้าขุนมูลนายมากันหลายคนด้วยสิ” น้ำเสียงของคนพูดดูกังวลอยู่ไม่น้อย

                “เรื่องนั้นเจ้าหาต้องกลัวไม่ การทำกิริยากระโดกกระเดกนั้นคงไม่มีใครสู้น้าปริงไปได้หรอก อย่ากังวลไปเลย แล้วข้าเองก็เปนเพียงขุนนางปลายแถว จึงไม่ค่อยรู้จักกับเจ้าขุนมูลนายมากนัก อีกอย่างที่นี่ก็ค่อนข้างไกลจากพระนครมาก ไปมาไม่สะดวก แขกจากพระนครคงมากันไม่กี่คนหรอก”

                “ถ้าเช่นนั้นไยต้องจัดงานใหญ่โตนัก เห็นว่ามีมหรสพแทบทุกชนิด ตั้งแต่หลังพระสวดเสร็จไปยันมืดค่ำ คนย่านอื่นยังเตรียมตัวมาชมงานนี้เลย อวดร่ำอวดรวยหรือไร” ประโยคท้ายของอำแดงศรีทำเอาข้าสะดุ้ง แต่ยังไม่ทันได้แก้ตัวอะไรหล่อนก็เอ่ยต่อ “เห็นน้าปริงบอกว่ามีเพลงฉ่อยคณะสามทิดมาด้วย ที่จริงแค่นี้ก็เรียกชาวบ้านแห่กันมาดูคับคั่งแล้ว ข้าเองที่รับปากมาช่วยงาน ส่วนหนึ่งก็เพราะน้าปริงบอกว่าจะจองที่นั่งแถวหน้าให้ดูสามทิดเล่นเพลงฉ่อยนี่แหละ”

                “อ้อ ที่แท้ก็ชอบดูเพลงฉ่อย” ข้าพึมพำอย่างนึกไม่ถึง อันที่จริงแล้วเพลงฉ่อยคณะสามทิดมาร่วมเล่นในงานคราวนี้ยังมีจุดประสงค์อื่นอีก แต่ข้าคงบอกให้ใครรู้ไม่ได้

                “ใครๆ เขาก็ชอบกันทั้งนั้น แล้วตอนนี้คณะสามทิดกำลังได้รับความนิยมมาก เห็นว่าทิดโยง ทิดนอง ทิดพ่วง ต่างเก่งทั้งเพลงฉ่อย เพลงเรือ เพลงอีแซว ทั้งคารมคมคาย พูดจาฉะฉาน แล้วยังตลกมากอีกด้วย”

                อำแดงศรีสาธยายให้ข้าฟังเปนฉากๆ โดยหารู้ไม่ว่าเรื่องของสามทิดนั้นไม่มีใครรู้ดีไปกว่าข้าอีกแล้ว…

                ข้าเกี่ยวข้องกับเพลงฉ่อยสามทิดอย่างไร ไว้คราวหน้าข้าจะเล่าให้ฟัง

คุณหลวงศักดิ์ อำแดงศรี