บทที่ ๕
การเดินทางของความรัก
ข้าถือตะกร้าขนมเดินนำหน้าอย่างอ้อยอิ่ง เมื่อมีโอกาสได้อยู่ตามลำพังกับผู้หญิงที่พึงใจข้าก็ต้องถือโอกาสอยู่ด้วยกันให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ อำแดงศรีหาบขนมเดินตามโดยแสดงสีหน้าหงุดหงิดอย่างเปิดเผย ถึงข้าจะเดินอยู่เบื้องหน้า แต่สายตาข้าก็คอยชำเลืองมองหล่อนโดยตลอด นั่นยิ่งทำให้อำแดงศรีหงุดหงิดยิ่งขึ้น แต่ก็ดูงดงามแลมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
“ดูท่าเจ้าคงจะชังน้ำหน้าข้าไม่น้อย จึงได้มีท่าทางรังเกียจข้านัก” ข้าเอ่ยถามตรงๆ อำแดงศรีเหลือบมองข้าด้วยหางตา ก่อนจะตอบ
“ข้าเปนชาวบ้านธรรมดา ไม่ค่อยคุ้นเคยกับขุนน้ำขุนนางสักเท่าไหร่ เดี๋ยวแสดงกิริยามารยาทไม่สมควรออกไปอาจมีภัยถึงตัวได้ อยู่ห่างไว้สบายใจกว่า”
“ข้าเองก็ไม่ใช่ลูกผู้ลากมากดีมาจากไหน เปนลูกชาวบ้านธรรมดาเหมือนกันนั่นแหละ ที่ได้ยศถาบรรดาศักดิ์นี้มาก็เพราะเรื่องบังเอิญเท่านั้น ข้าก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกับชีวิตขุนน้ำขุนนางเช่นกัน จึงได้คิดมาตั้งรกรากอยู่แถวนี้”
“คุณหลวงอย่าได้ลดตัวลงมาเสมอกับชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกข้าเลย คนมีอำนาจมีฐานะอย่างคุณหลวงยังไงก็ยังแตกต่างจากพวกเรามากนัก” อำแดงศรีพูดเหมือนตัดบท
“ข้าเปนแค่ขุนนางปลายแถว ตำแหน่งหน้าที่ไม่สำคัญอะไร อำนาจหรือฐานะจึงไม่ใช่สิ่งจีรังยั่งยืน แลหากข้าคบหากับใครก็อยากให้คบกันด้วยไมตรีจิตมากกว่า เช่นเดียวกับการมีคู่ครองนั่นแหละ ข้าย่อมอยากให้คนรักของข้ารักที่ตัวข้ามากกว่ายศฐาบรรดาศักดิ์”

เสียงหัวเราะสั้นๆ อย่างกลั้นไม่อยู่หลุดออกมาจากปากของอำแดงศรี หล่อนกระแอมแก้เขินก่อนจะเอ่ยอธิบาย
“ขอโทษด้วย ข้าเผลอคิดไปถึงละคร แลนิทานต่างๆ ที่พระเอกเปนเจ้าชายแล้วปลอมตัวเป็นคนจนเพื่อตามหารักแท้ หากคุณหลวงชอบแบบนั้นก็น่าจะลองปลอมตัวไปหาคู่ดู”
ข้าพลอยหัวเราะอย่างอายๆ ไปด้วย ใจชื้นขึ้นบ้างเมื่อเห็นสีหน้าของอำแดงศรีคลายความบึ้งตึงเคืองขุ่นอย่างที่เคยคุ้นตา อยากให้ทางเดินกลับบ้านยาวไม่มีที่สิ้นสุด จะได้คุยกับหล่อนไปเรื่อยๆ
“คงปลอมตัวไม่ทันแล้ว…”
ทั้งที่อยากจะพูดออกไปตรงๆ มากกว่านี้ แต่กลัวจะได้รับความโกรธเกลียดกลับมามากกว่าเดิม จึ่งได้แต่มองหน้าอำแดงศรีแล้วกลืนคำพูดที่เหลือลงไป แต่ดูเหมือนหล่อนจะรู้ความนัย เพราะข้ามั่นใจว่าตาไม่ได้ฝาด ข้าเห็นสองแก้มของหล่อนแดงซ่าน
“คุณหลวงคงมีคู่ครองแล้วกระมัง เรือนใหม่หลังนี้อาจเปนเรือนหอ” อำแดงศรีเอ่ยขณะที่มาถึงหน้าบ้านของข้าพอดี
“พุทโธ่ จะเปนเช่นนั้นไปได้อย่างไร” ข้ารีบแก้ความเข้าใจผิดนั้น “ข้ายังเปนโสด ไม่เชื่อก็ถามบ่าวไพร่ของข้าดูได้…”
ยังไม่ทันที่ข้าจะพูดอะไรต่อ เสียงแห่งความวิบัติก็ดังแทรกมาจากบนเรือนเสียก่อน
“คุณหลวงที่รักเจ้าขา ซื้ออะไรมาบ้างเจ้าคะ”
“น้าปริง” ข้าอุทานอยู่ในใจด้วยความตระหนก ไม่นึกไม่ฝันว่าเวลาแห่งความสุขจะสั้นปานนี้
น้าปริงโผล่หน้ามาทางหน้าต่าง โบกไม้โบกมือทักทายข้าอย่างดีใจ แต่พอเห็นอำแดงศรียืนอยู่ข้างๆ ก็ชะงัก มองหน้าอีหลักอีเหลื่อของข้ากับอำแดงศรีสลับกันอย่างประเมินสถานการณ์ แล้วก็ยกมือทาบอกพลางผลุบหัวกลับไป
ข้างฝ่ายอำแดงศรีนั้นเล่า ก้มหน้าก้มตาหยิบขนมออกมาวางไว้ตรงชานบ้าน จากนั้นก็เดินกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ข้ารีบละล่ำละลักเรียกหล่อน
“เดี๋ยวก่อน”
หล่อนเหลือบมองข้าด้วยหางตา มุมปากมีรอยยิ้มเย้ยหยันให้เห็นแวบหนึ่ง จากนั้นก็เดินจากไปโดยไม่สนใจข้าอีก
“อ้าว ผู้หญิงคนเมื่อกี๊ไปไหนแล้ว” น้าปริงที่รีบลงมาจากเรือนถามอย่างกระหืดกระหอบ “สวยเชียว คนรักของคุณหลวงกระนั้นหรือ เอ… ไม่น่าเปนไปได้ หล่อนเปนใครกัน รีบบอก”
“โธ่ น้าปริง หล่อนเปนใครก็ช่างหล่อนเถอะ แล้วทำไมน้าต้องเรียกข้าว่าที่รักเจ้าคะเจ้าขาด้วย แล้วนี่น้ามาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่เห็นบอกล่วงหน้าว่าจะมา อยู่ๆ ก็โผล่มาให้ตกใจเช่นนี้”
“ใจเย็นๆ คุณหลวง จะโมโหอะไรก็ควรเลือกโมโหทีละเรื่อง” น้าปริงบอกขณะที่หันไปสนใจขนมแทน “ข้าก็เรียกเล่นๆ อย่างงี้บ่อย เมื่อก่อนไม่เห็นโกรธ พอมีสาวๆ อยู่ด้วยทำเปนโกรธ เชอะ แล้วที่มานี่ก็เพราะคุณยายของคุณหลวงนะสิ ห่วงหลานชายสุดที่รักว่าจะจัดงานขึ้นบ้านใหม่ทั้งที ก็ควรมีผู้หลักผู้ใหญ่ที่ไว้ใจได้มาคอยช่วยดูแลความเรียบร้อยบ้าง จึงส่งข้ามาช่วยเตรียมงานก่อนไงล่ะ”
ข้าเคยเล่าให้ฟังแล้วว่าน้าปริงนั้นเปรียบเสมือนแหล่งกำเนิดความซวยสำหรับข้า แม้แต่การพบกันครั้งนี้ก็ไม่เว้น แลความซวยในครานี้อาจทำให้ความสัมพันธ์ของข้ากับอำแดงศรีย่ำแย่ลงกว่าเดิม ส่วนจะหนักหนาสาหัสเพียงใดนั้นข้ายังไม่กล้าคิด เอาเปนว่าไว้จะเล่าให้ฟังในคราวหน้าก็แล้วกัน
