ชีวิตรัก คุณหลวงศักดิ์-อำแดงศรี

ชีวิตรัก คุณหลวงศักดิ์-อำแดงศรี บทที่ 2 เรื่องสยองที่คลองพระโขนง

บทที่ ๒

เรื่องสยองที่คลองพระโขนง

                พุทธศักราช ๒๔๐๔ เปนปีที่ชีวิตของข้าต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง อาทิเช่น ย้ายไปอยู่เรือนหลังใหม่ที่บ้านท่าแร้ง แถวบางเขน  ได้เจออำแดงศรีที่บ้านอยู่แถวนั้น แลได้พบกับเรื่องสยองชวนขนหัวลุก ส่งผลให้ข้าต้องหัวโกร๋นไปพักใหญ่…

                เหตุเกิดตอนที่เรือนหลังใหม่ข้ากำลังจะเสร็จ วันนั้นข้าคุมช่างสร้างเรือนไปตาก็กระตุกแปลกๆ ไป พอช่วงสายๆ ก็มีบ่าวไพร่จากบ้านยายข้ามาแจ้งข่าวว่าญาติที่อยู่แถวพระโขนงเสียชีวิต ยายข้าไปเองไม่ไหวแต่จะส่งน้าปริงน้องสาวคนเล็กของแม่ข้าไปช่วยงาน โดยให้ข้าไปด้วย ข้าจึ่งรีบเดินทางไปบ้านยายข้าซึ่งอยู่แถวบางกะปิ น้าปริงนั้นพอเห็นข้าก็ดีใจ เข้ามาตบหลังทักทายฉาดใหญ่ ข้ากลั้นความเจ็บปวดไว้เข้าไปไหว้ทักทายยาย ส่วนน้าปริงนั้นถึงมีศักดิ์เป็นน้า แต่อายุห่างกับแม่ข้ามาก แก่กว่าข้าแค่ ๒ ปี เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เล็ก จึงไม่ได้ไหว้แต่อย่างใด

                เมื่อก่อนแม่ข้าพาน้าปริงไปเลี้ยงอยู่ที่บ้าน จึงโตมาด้วยกัน สนิทสนมเหมือนพี่น้อง น้าปริงนั้นจัดว่าเปนสาวสวย แต่ข้าเดาว่าคงจะเปนสาวทึนทึกแน่แท้ เพราะแม่เจ้าประคุณมือเท้าหนักแลไวมาก คงไม่มีผู้ชายที่ไหนทนได้ ข้าโดนบ่อยจึงรู้ฤทธิ์ดี อีกอย่างก็คือ น้าปริงมักจะพาความซวยมาให้ข้าบ่อยๆ ข้าจึงไม่ค่อยอยากอยู่ใกล้ๆ น้าปริงนัก ที่ตาข้ากระตุกก็คงเพราะสาเหตุนี้…

                ตอนเด็กๆ ข้าหัวแตก โดนน้ำร้อนลวก ตกต้นไม้ หนามแทง หมากัด ต่อต่อย ควายไล่ขวิด ต้นสายปลายเหตุล้วนมีที่มาจากน้าปริงทั้งสิ้น แม้แต่ตอนที่ข้าอกหักก่อนจะเข้าป่าไปเจอกองทัพพม่า  ก็เปนน้าปริงนี่เองที่แนะนำสาวคนนั้นให้ข้าได้รู้จักแลอกหักในที่สุด

                คืนนั้นข้านอนค้างที่บ้านยาย รุ่งเช้าน้าปริงมาปลุกด้วยการทุบแขนทุบหลังจนต้องรีบตื่นตั้งแต่ไก่เริ่มขัน เตรียมเสบียงไว้กินกลางทางเรียบร้อยก็ลงเรือออกเดินทาง โดยมีตาเรืองฟันหลอเป็นฝีพายหลัก

                “เหตุใดต้องรีบเร่งนักเล่า พระโขนงหาได้ไกลสักเท่าใด” ข้าถามน้าปริงขณะที่พายเรือช่วยตาเรืองไปด้วย

                “เราต้องนั่งเรือไปอีกนานนะ แล้วคุณหลวงไม่รู้หรือไร ว่าที่เราจะไปนี้คือคลองพระโขนง” น้าปริงเรียกข้าติดปากว่าคุณหลวงมาตั้งแต่ได้บรรดาศักดิ์ใหม่ๆ แรกๆ ก็เรียกแบบล้อเลียนขำๆ แต่นานไปก็ติดปาก

                “คลองพระโขนงเปนอย่างไร ข้าเห็นกว้างพอๆ กับคลองบางกะปินี่แหละ แต่ก็กว้างกว่าคลองคู้บอนแถวบ้านข้าเสียอีก” ข้าตอบไปอย่างไม่ได้นึกอะไรมาก

                “พ่อคุณเอ๊ย ไม่เคยได้ยินข่าวเรื่องแม่นากหรือไง” น้าปริงลดเสียงเบาลงจนข้าซึ่งนั่งอยู่หัวเรือต้องหยุดพายแล้วหันกลับไปถาม

                “อะไรนะน้าปริง แม่นากหรือ อย่าบอกนะว่าน้ากลัวผีแม่นาก” ข้าเพิ่งปะติดปะต่อเรื่องราวได้ก็เลยพูดกลั้วหัวเราะอย่างอดไม่อยู่

                “กลัวสิวะ แล้วคุณหลวงไม่กลัวหรือไงกัน อย่ามามุสา ตอนเด็กๆ คุณหลวงมิใช่รึที่ต้องให้ข้าไปเพื่อนตอนไปส้วมดึกๆ” น้าปริงกล่าวพลางค้อนขวับเข้าให้

                “น้าปริงไม่รู้หรือไร ว่าเรื่องผีแม่นากที่เขาลือกันนั้นหาใช่เรื่องจริงไม่ ที่จริงแล้วลูกๆ ของแม่นากกลัวว่าพ่อคือนายชุ่มที่เล่นโขนเป็นตัวทศกัณฐ์จะมีเมียใหม่ แลเมียใหม่ของพ่อจะมาแย่งสมบัติ เลยแกล้งปลอมตัวเปนผีแม่นากคอยหลอกคนแถวคลองพระโขนง มันก็แค่นั้นเอง” ข้าบอกพลางปั้นหน้าอย่างผู้ทรงภูมิ น้าปริงไม่ได้โต้แย้งอะไร แค่ทำปากมุบมิบๆ โดยไม่มีเสียง

                ตาเรืองฟันหลอแม้จะแก่แต่ยังแข็งแรง พายเรือได้นานโดยไม่มีอาการล้า อย่างไรก็ตาม ฝนห่าใหญ่ทำให้การเดินทางต้องหยุดลงชั่วคราว แลทำให้เราถึงคลองพระโขนงเอาตอนเย็นใกล้ค่ำ ล่วงเข้าคลองพระโขนงมาสักพักข้าก็รู้สึกหนาวแลขนหัวลุกชันแปลกๆ อาจเปนเพราะโดนละอองฝนหรือเพราะบรรยากาศที่วังเวงก็ไม่รู้แน่ ส่วนน้าปริงนั้นนั่งนิ่งเงียบ มีเพียงสายตาที่ล่อกแล่กมองซ้ายขวาสลับไปมาเท่านั้น

                “วัดเอ๋ย… วัดโบสถ์…” เสียงเพลงกล่อมลูกดังแว่วมา ข้า น้าปริง แลตาเรืองต่างสะดุ้งเฮือกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

                “ผะ… ผะ ผี” น้าปริงครางเสียงไม่ปะติดปะต่อ

                “ผีอะไรจะพูดถึงวัดล่ะ” ข้าค้าน

                “ผีแม่นากไง” น้าปริงเถียง

                “แม่นากเป็นคนแถวนี้ ต้องรู้สิว่าวัดที่อยู่ใกล้ๆ คือวัดมหาบุศย์ แถวนี้ไม่มีวัดโบสถ์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ผีแม่นากหรอก อย่าขลาดไปเลย” ข้าปลอบน้าปริงพลางทำใจดีสู้เสือ แล้วจึ่งรวบรวมความกล้าเพ่งมองไปที่ฝั่งคลองเบื้องหน้า

                ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอุ้มลูกอยู่ที่ท่าน้ำ ข้าเบิกตากว้างมองอย่างตะลึง ส่วนผู้ร่วมเดินทางทั้งสองก็คงไม่ต่างกันนัก ในขณะที่เรือกำลังจะแล่นผ่าน แลพวกเรากำลังชั่งใจอยู่ว่าผู้หญิงคนนั้นเปนอะไรกันแน่ ทันใดนั้นหล่อนก็ยื่นแขนยาวเหยียดเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะทำได้มาที่เรือของเรา ตาเรืองเร่งมือพายสุดแรงโดยไม่ต้องบอกกล่าว ข้ามองไปที่ฝั่งคลองตรงข้าม กะว่าโดดน้ำว่ายไปถึงฝั่งแล้ววิ่งหนีน่าจะเร็วกว่า แต่ก็ต้องหยุดความคิดนั้นลง เมื่อน้าปริงซึ่งว่ายน้ำไม่เปนกล่าวดักคอด้วยเสียงสั่นๆ แต่แฝงความเด็ดขาดว่า

                “ใครทิ้งเรือกูตบ!”

                พายในมือข้าหลุดจมน้ำไปตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ จึงเหลือเพียงตาเรืองคนเดียวที่เปนกำลังหลักในการพายเรือหนีผี สรุปว่าเราหนีพ้น แต่พอไปถึงบ้านงาน ข้ากับน้าปริงก็พร้อมใจกันนอนจับไข้ไม่ได้ช่วยงานแต่อย่างใด ส่วนผีที่เห็นจะเปนผีแม่นากตัวจริงหรือผีอื่นปลอมมาสวมรอยก็ช่างเถอะ ข้าไม่อยากรู้ ไม่อยากพิสูจน์ ไม่สนใจ

                แต่การเจอผีที่คลองพระโขนงทำให้ข้าจับไข้แลผมทยอยร่วงจนหัวโกร๋น  แหละนั่นคือสภาพอันน่าสมเพชของข้าตอนเจอกับอำแดงศรีครั้งแรก ซึ่งไว้วันหลังข้าจะเล่าให้ฟัง…

คุณหลวงศักดิ์ อำแดงศรี